ผู้ผลิตสามารถเอาชนะความท้าทายในการผลิตแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าได้อย่างไร การวิเคราะห์ข้อมูลช่วยลดต้นทุนและเวลาในการผลิตในขณะที่เพิ่มคุณภาพและความแม่นยำ
ทั่วโลกกำลังมีการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้น จึงมีความต้องการเซลล์แบตเตอรี่เพิ่มขึ้น 30 เปอร์เซ็นต์ทุกปี ภายในปี 2028 มูลค่าตลาดของแบตเตอรี่ EV ทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นจนสูงกว่า $154 พันล้าน
การแพร่หลายของแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าเป็นหัวใจสำคัญในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) และก๊าซไนโตรเจนออกไซด์ (NO2) ทั่วโลก นอกจากนี้การเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องของการผลิตแบตเตอรี่ EV ยังเป็นปัจจัยสำคัญในการเติบโตทางเศรษฐกิจของผู้ผลิตอีกด้วย ในทางกลับกันการเพิ่มขึ้นของความสามารถในการผลิตแบตเตอรี่ EV จะก่อให้เกิดความท้าทายที่สำคัญ เช่น การสรรหาบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญและการจัดหาวัตถุดิบได้เพียงพอเพื่อให้มั่นใจถึงความยั่งยืนของกระบวนการทั้งหมด
อย่างไรก็ตาม ความท้าทายหลักของผู้ผลิตก็คือการมีโรงงานที่สามารถแข่งขันด้านต้นทุนและการเป็นผู้ผลิตที่มีต้นทุนต่ำ การก้าวขึ้นเป็นผู้นำระดับโลกในด้านการผลิตแบตเตอรี่ EV จะขึ้นอยู่กับการลดต้นทุนการผลิตโดยที่ไม่ส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์
-
20 ล้านคัน
รถยนต์ EV ที่ขายภายในปี 2025
-
$154
มูลค่านับพันล้าน
-
30%
การลดต้นทุนโดยใช้ข้อมูล
ประโยชน์ของอุตสาหกรรม 4.0
ตามตัวเลขสถิติต่างๆ ของการผลิตแบตเตอรี่ ผู้ผลิตสามารถลดต้นทุนได้ตั้งแต่ 15% ถึง 30% ด้วยการนำเทคโนโลยีใหม่ๆ และกระบวนการผลิตที่เป็นนวัตกรรมใหม่มาใช้ การใช้โซลูชั่นที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลและเทคโนโลยีดิจิตอลยุคใหม่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการลดเวลางานขัดข้องของการผลิตและการเพิ่มความแม่นยำ การเปลี่ยนผ่านสู่อุตสาหกรรม 4.0 จะช่วยให้มั่นใจถึงข้อได้เปรียบในการแข่งขันและลดต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับการผลิตได้ตั้งแต่ 20% ถึง 35% ในการผลิตเซลล์แบตเตอรี่แต่ละขั้นตอน ซึ่งได้แก่ การผลิตอิเล็กโทรด การประกอบเซลล์ และการตกแต่งเซลล์
ทุกขั้นตอนการผลิตมีความท้าทาย
ในขั้นตอนแรกของกระบวนการ ข้อมูลต้องได้รับการจัดการอย่างถูกต้อง ต้องติดตั้งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์เพื่อรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลอย่างเหมาะสมเพื่อให้การเริ่มต้นการทำงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้การแชร์ข้อมูลยังเป็นกุญแจสำคัญในการตรวจสอบกระบวนการทั้งหมดอยู่เสมอ
เมื่อมีการเก็บรวบรวมและแชร์ข้อมูล ความท้าทายถัดไปจะเกิดขึ้น ข้อมูลนั้นทรงพลัง แต่ต้องการข้อมูลเชิงลึกที่เป็นมากกว่าแค่ตัวเลข และสามารถสร้างมูลค่าได้ การวิเคราะห์ขั้นสูงและการเรียนรู้ของเครื่องคือกุญแจสู่ความได้เปรียบในการแข่งขันในการผลิตแบตเตอรี่ EV เพื่อให้มั่นใจในประสิทธิภาพการปฏิบัติงานและคุณภาพสูง การพัฒนาผลิตภัณฑ์และการออกแบบที่ซับซ้อนยิ่งขึ้นอาจส่งผลให้อัตราการเรียกคืนสินค้าสูงขึ้นหรือการปล่อยผลิตภัณฑ์ที่มีข้อบกพร่องออกสู่ตลาด ด้วยเหตุนี้การระบุข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นแบบเรียลไทม์จึงเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อให้สามารถการดำเนินการแก้ไขได้ทันทีและคาดการณ์ถึงปัญหาการผลิต
การบำรุงรักษาเชิงป้องกันนั้นจำเป็นต่อการช่วยลดเวลางานขัดข้องและความเสียหายราคาแพง พร้อมกับช่วยเพิ่มคุณภาพโดยรวม การวางแผนและการกำหนดตารางเวลาการบำรุงรักษานั้นมีประโยชน์ต่อทุกขั้นตอนของการผลิตแบตเตอรี่ EV และยังช่วยลดต้นทุนได้ตังแต่ 7% ถึง 10%
โซลูชั่นบริการของเราสำหรับผู้ผลิตแบตเตอรี่ EV
ในบริบทนี้ Atlas Copco สามารถให้โซลูชั่นบริการต่างๆ เพื่อสนับสนุนการผลิตแบตเตอรี่ EV และรับประกันถึงคุณภาพสูงสุดและการปรับกระบวนการให้เหมาะสม
การติดตั้งอุปกรณ์ใหม่อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพในกระบวนการผลิต EV เป็นสิ่งจำเป็นในการจัดเก็บข้อมูลอย่างมีเป้าหมาย ด้วย EasyStart ของ Atlas Copco เราให้ความมั่นใจได้ว่าฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์การวิเคราะห์จะแชร์ข้อมูลที่จำเป็นในวิธีที่ถูกต้องเพื่อระบุปัญหาตั้งแต่เนิ่นๆ
เพื่อสนับสนุนผู้ผลิตแบตเตอรี่ EV ด้วยการวิเคราะห์ข้อมูลและลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น Atlas Copco ขอแนะนำ ALTURE® โซลูชั่นบริการที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล แอพที่ใช้งานง่ายนี้จะวิเคราะห์ข้อมูลการผลิตอย่างต่อเนื่องและระบุปัญหาและข้อกังวลด้านคุณภาพแบบเรียลไทม์ ระบบจะแจ้งปัญหาในการขันแน่นในทันทีผ่านการแจ้งเตือนแบบพุชบนอุปกรณ์มือถือ ช่วยให้สามารถดำเนินการแก้ไขปัญหาได้ทันทีและหลีกเลี่ยงผลกระทบตามมาที่มีค่าใช้จ่ายสูง นอกจากนี้รายงานยังประกอบด้วยข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับปัญหาและยังให้คำแนะนำในการแก้ไขปัญหาโดยไม่คำนึงถึงระดับความเชี่ยวชาญด้วย
ยิ่งไปกว่านั้นบริการที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลของเรายังสามารถช่วยคุณคาดการณ์ปัญหาในสายการผลิตได้แม้ก่อนที่จะเกิดปัญหาขึ้นALTURE : Optimize ให้สถิติ NOK ที่สมบูรณ์และระบุแนวโน้มการขันแน่นที่อาจสร้างปัญหาในอนาคตได้
ในการผลิตแบตเตอรี่ EV ต้องดำเนินทุกขั้นตอนการผลิตอย่างเที่ยงตรงและแม่นยำ กระบวนการเกี่ยวกับวัสดุเป็นสิ่งสำคัญต่อการปรับกระบวนการตามคุณภาพของวัสดุ มาตรฐานการควบคุมคุณภาพระดับสากลกำหนดให้ใส่ใจกับพารามิเตอร์การตังค่าและการควบคุมคุณภาพในสายการผลิตของการประกอบและการตกแต่งเซลล์ และกระบวนการเหล่านี้ยังช่วยลดต้นทุนการผลิตเซลล์ได้ถึง 10% ดALTURE : Optimize ทำให้สามารถปรับแต่งการแจ้งเตือนและเกณฑ์ NOK ได้ตามแต่ละเป้าหมาย วัสดุที่ใช้ หรือการใช้งานที่เฉพาะเจาะจง